ครูคืนถิ่น...ครูเต็มตัว

กระทู้คำถาม
ข้อความต่อไปนี้เป็นความตั้งใจของผม
ที่อยากจะแบ่งปันและให้กำลังใจผู้ที่อยากจะเป็นครูหรือสนใจเส้นทางชีวิตของครู
เพราะผมเองกว่าจะสอบบรรจุได้อายุก็ปาเข้าไป ๓๔ ปีเข้าไปแล้ว
ดังนั้น น้องๆ หรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่าที่รู้สึกท้อแท้กับการสอบบรรจุครูหรือเส้นทางของการเป็นครู
ก็ลองมาอ่านเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดู

ผมก็มีโอกาสได้อ่านประสบการณ์ของหลายๆ ท่านที่มาเขียนในพื้นที่แห่งนี้
ด้วยเส้นทางที่แตกต่างกันไป ทำให้ได้เห็นหลากหลายมุมมอง
ส่งผลให้เกิดความคิดในการมาปรับใช้กับการใช้ชีวิตของตนเองได้

จะว่าไปแล้วผมก็ถือว่าโชคดีกว่าคนอื่น
ที่เกิดมาอยู่ในชนบทผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกในจังหวัดกาญจนบุรี สุดแดนตะวันตกของไทย
บางคนอาจจะมองว่าผมเป็นลูกกะเหรี่ยง...บ้านป่า...เป็นชาวเขาชาวดอย

ห่างไกลความเจริญ ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง การศึกษาก็ล้าหลัง
แต่ผมก็สามารถมาถึงจุดที่เรียกว่าเป็น "ข้าราชการครู" ได้

ในสมัยที่ผมเป็นเด็ก...กะเหรี่ยงตัวน้อยๆ คนหนึ่ง เคยถูกคุณครุถามในวันเด็กว่า
"โตขึ้น...หนูอยากจะเป็นอะไร?"
ในขณะนั้นผมไม่สามารถจะตอบคำถามนี้ได้ ก็เลยตอบออกไปว่า "ไม่รู้ครับ"

มาถึงวันนี้...คำตอบที่อยู่ในใจของผมก็คือ "การเป็นครูนั่นเอง"
ที่สำคัญผมได้กลับมาทำงานที่บ้านเกิดของตัวเองตั้งแต่ได้เข้าวงการ (ครู)

ผมเรียนจบจากโรงเรียนรัฐบาลในหมู่บ้านเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖
ก่อนที่จะมาเป็นโรงเรียนขยายโอกาสในปัจจุบัน (ถึง ม.๓)

จบ ป.๖ ที่บ้าน เพื่อนๆ ของผมต่างก็มีแนวทางการศึกษาต่อที่แตกต่างกันออกไป
บางกลุ่มไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในตัวอำเภอ
ที่มีระยะทาง ๒๐ กว่ากิโลเมตรเท่านั้น แต่รู้สึกว่ามันช่างห่างไกลเหลือเกิน

บางกลุ่มจะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ในตัวจังหวัด ซึ่งก็ห่างออกไปอีกเป็น ๒๐๐ กว่ากิโลเมตร
บางกลุ่มก็ศึกษาต่อศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนที่ถือว่าไม่ไกลนัก
บางกลุ่มบอกว่าไม่เรียนแล้ว อยู่บ้านประกอบสัมมาอาชีพ

ส่วนผมเลือกเส้นทางที่คิดว่าเท่ที่สุดในขณะนั้น คือ "การบวช"
เพราะพี่ชายคนโตเป็นพระ พี่ชายคนถัดจากผมก็เป็นสามเณร
ผมเลยคิดว่า "การบวชนี่แหล่ะที่จะทำให้ผมไปสู่ความก้าวหน้าได้"

แต่แล้วผมก็ต้องหยุดเรียนไปถึง ๒ ปี เพราะต้องศึกษาทางสายทางธรรม
เรียนบทสวดมนต์และนักธรรม เป็นหลัก
จนพี่ชายที่เป็นสามเณรศึกษาจบ ม.๓ จึงให้ผมไปอยู่แทนพี่ชายที่กรุงเทพฯ

นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
ผมนึกภาพกรุงเทพฯ ไม่ออก อยากมากก็เคยดูในภาพยนตร์มาบ้าง
ภาพที่คิดไว้คือ เมืองที่มีฝุ่นควัน มลพิษจากรถยนต์ที่วิ่งไปมาตลอดทั้งวันเท่านั้น ผมนึกภาพอื่นๆ ไม่ออกเลย

ในที่สุดผมก็ได้เข้าไปใช้ชีวิตในเมืองหลวง
เป็นสามเณรตัวน้อยๆ ผอมๆ ขี้อาย พูดไทยก็ยังไม่ค่อยคล่องนัก
เพราะพ่อแม่ของผมก็เป็นคนกะเหรี่ยงดั้งเดิมและมีสิทธิความเป็นไทยแล้ว

ชื่อที่ท่านตั้งให้ผมคือ "โจยาขี้"
ความหมายก็ประมาณว่า "คนที่เกิดในวันอังคารนี้ดีงาม"
เพราะผมเกิดวันอังคารนั้นเอง

ผมยังใช้ชื่อนี้ไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่าผมจะเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯแล้วก็ตาม
ด้วยความที่เป็นคนขี้อาย ยิ่งมีชื่อแบบนี้ด้วยก็เลยรู้สึกว่า อยากเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาไทยไปเลยเพื่อความสะดวก
ผมเลยนำคำแรกของนามสกุลมาเป็นชื่อของผม นั่นก็คือ "ไทร"
โดยมีแนวคิดว่า ถ้าตั้งชื่อไทยก็ให้เป็นไทยๆ ไปเลย ไม่ต้องแปลอีก
สั้นๆ ง่ายๆ แต่แฝงความหมายดีว่าวันหนึ่งเราจะเป็นที่พึ่งของคนอื่นๆได้

ผมศึกษาทางสายพระ ที่เรียกว่า "โรงเรียนพระปริยัติธรรม สายสามัญ"
พูดง่ายๆ ก็คือ เรียนระดับชั้นมัธยมต้น-ปลายธรรมดานี่เอง
เรียน ๘ กลุ่มสาระเหมือนๆ กัน แต่ที่แตกต่างก็ไม่มีวิชากีฬาและดนตรีขับร้อง
แต่เป็นการสวดมนต์แทน

โรงเรียนที่ไม่ต้องร้องเพลงชาติแถมเข้าเรียนเวลาบ่ายโมงอีกด้วย
เพราะช่วงเช้าทางวัดมีกฏให้ศึกษาวิชาภาษาบาลีก่อน
ดังนั้น โรงเรียนวัดก็จะเป็นแบบนี้
ตอนเช้าเรียนบาลี บ่ายเรียนทางโลก เย็นเรียนนักธรรม

สิ่งแวดล้อมก็แตกต่างจากข้างนอก ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวหรือเล่นกีฬาเหมือนคนทั่วไป
ถึงเวลาก็เข้าเรียน หมดเวลาก็กลับที่พัก
วนๆ เวียนๆ อยู่แบบนี้จนผมจบการศึกษาระดับมัธยมปลายด้วยวัย ๒๐ ปี

ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วของวัด มีเพื่อนจากหลายๆ จังหวัด
ทำให้ได้ยินหลายๆ สำเนียงภาษาและวัฒนธรรม
เพื่อนๆ ก็มีอิทธิผลกับผมมากว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพระอาจารย์หรือคุณครูที่สอน

ส่วนทางบ้านก็ไม่ค่อยได้รับรู้วิถีการศึกษาของผมเท่าไร
รู้เพียงแต่ว่าไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ
ไม่ต้องส่งเงินให้ ไม่ต้องเสียค่าเทอม เพราะหลายๆ อย่างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ถึงจะต้องใช้จ่าย ผมก็เป็นคนเก็บอดออมจากการออกกิจนิมนต์ต่างๆ ในวันหยุด

ช่วงที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในชีวิต ที่ฝรั่งเรียกกันว่า "Crossroad"
เป็นเหมือนทางแยกหรือจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกครั้ง
คือต้องศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือระดับปริญญาที่มีความเข้มข้นกว่าเดิมอีก

ด้วยพื้นฐานที่ผมเป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก จึงไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตนเองสักเท่าไร
ทางเดินที่สามารถเลือกได้ในตอนนั้นคือการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยของสงฆ์ที่เป็นสายตรงของผม
เพราะคิดบวก ลบ คูณ หารกันแล้ว ถ้าผมบวชเรียนต่อมีโอกาสจะจบปริญญาตรีมากกว่าไปทำอย่างอื่น

ผมเลยตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของสงฆ์
แต่ก็มีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ "ปราโมทย์" เป็นคนที่ไม่ค่อยอยากเดินตามร่องเดิมๆ เหมือนคนอื่น
ชักชวนผมไปสอบที่ "มหิดล"

ในภาพของผมตอนนั้นเกิดขึ้นว่า "เป็นไปไม่ได้หรอก"
เพราะว่าเรียนไม่เก่ง คิดก็ช้า แถมไม่กล้าแสดงออกด้วย
จะไปสอบได้อย่างไร มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น เราแค่จบจากโรงเรียนวัด

แต่แล้วด้วยวันเวลาที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป จนผมลืมไปดูวันรับสมัครของมหาวิทยาลัยสงฆ์
รู้ตัวอีกทีก็ปิดรับสมัครเสียแล้ว
จากที่เคยปฏิเสธเพื่อนไปว่า "ไม่กล้าไปสอบมหิดล" ผมก็ต้องทบทวนอีกครั้งเพราะว่ายังไม่ปิดรับสมัคร
ต้องไปสอบสายตรงและสัมภาษณ์ ถ้าคะแนนผ่าน สัมภาษณ์ผ่านก็มีโอกาสได้เรียน

ใจหนึ่งก็คิดว่า "ถ้าเราได้ไปเรียนที่มหิดลจริงๆ ก็น่าดีใจเพราะว่ามันไม่ง่ายนักที่ลูกกะเหรี่ยงคนหนึ่งจะได้เข้าไปอยู่ในมหาวิทยาลัยมีชื่อ"
ไหนๆ ก็คือเหลือโอกาสสุดท้ายแล้ว ลองไปสอบกับเพื่อนดู
เพื่อนที่เรียนระดับมัธยมปลายด้วยกันรวมกันแล้ว ๔ รูป

อ่านรายละเอียดการสอบ ปรึกษารุ่นพี่ เก็บเงินค่าเทอมแรก ๗,๐๕๐ บาท
ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่มากสำหรับผมในเวลานั้น
วิชาที่สอบก็ค่อนข้างหินสำหรับพวกเรา
มีวิชาศาสนาและปรัชญา การใช้เหตุผลและภาษาอังกฤษที่ไม่ง่ายเลยสำหรับพวกเรา

วิชาปรัชญาก็ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะเท่าที่รู้มาว่าคนที่เข้าใจปรัชญาจริงๆ คือคนที่ยังไม่เข้าถึงปรัชญา
หาเอกสารมาอ่าน ทำแบบฝึกหัดซ้ำแล้วซ้ำอีก ภาษาอังกฤษก็แค่พื้นๆ ศัพท์ธรรมดา
หลักไวยากรณ์อังกฤษก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง

จนวันสอบมาถึง
เดินทางไปที่ศาลายา จ.นครปฐม
เป็นวิทยาลัยแห่งแรกของมหาวิทยาลัยที่สามารถเรียนร่วมกันได้ระหว่างพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และฆราวาสที่นับถือศาสนาอื่นด้วย

จากชีวิตที่เคยอยู่แต่ในกำแพงวัด
วันนี้ได้เปิดโลกกว้างขึ้นด้วยการเข้ามาสอบในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งนี้
สอบข้อเลือกก็ไม่มั่นใจ สอบข้อเขียนก็ไม่เต็มที่ เจอสัมภาษณ์กับอาจารย์ฝรั่งอีก ใบ้กินเลยทีเดียว
ห้องแอร์ก็ห้องแอร์เถอะ เหงื่อออกจนรู้สึกได้ว่าจีวรเริ่มเปลี่ยนสี
แต่เราก็คิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ที่เหลือก็ลุ้นผลสอบ

อีกเกือบเดือนที่พวกเราจะทราบผลสอบ
ใจก็คิดฟุ้งไป ลาสิกขาไปสมัครทหารเกณฑ์ดีกว่า อย่างน้อยก็มีเงินเก็บบ้าง
หรือสึกออกไปหางานทำแล้วค่อยหาทีเรียน

แล้ววันประกาศผลสอบก็ออกมา
พวกเรา ๔ ชีวิตจากสถาบันเดียวกัน คือศิษย์เก่าจากโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษา วัดมหาธาตุ
...โมทย์...ไทร...ได..และปุ้ย มีโอกาสไปร่วมศึกษาต่อด้วยกันในระดับมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกครั้ง
ดีใจสุดๆ แต่สิ่งที่ผมถามรุ่นพี่ที่เคยศึกษาที่นั้นคือ
"เมื่อไร พวกผมจะได้ย่ามตราวิทยาลัยครับ"
เพราะผมเคยเห็นรุ่นพี่เขาใช้แล้วรู้สึกเท่ดี (อีกแล้ว)

สถานที่ผมไปศึกษาชื่อเต็ม ๆ ก็คือ "วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล"
หรือในภาษาอังกฤษก็คือ "College of Religious Studies, Mahidol University"
ในที่สุดผมก็ได้มาเรียนที่นี่แล้วจริงๆ

ในความคิดของผม ที่ตั้งใจไว้ คือ
เรียนระดับประถมศึกษาเป็นเด็กน้อย
เรียนระดับมัธยมศึกษาเป็นสามเณร
เรียนระดับอุดมศึกษาก็อยากจะลาสิกขาอีกครั้ง ใส่ชุดนักศึกษา
แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยกับเขาแล้ว แม้จะไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาก็ตาม

ในวัย ๒๐ ปีของผมตอนนั้น ผมก็ยังไม่เห็นเป้าหมายอนาคตของชีวิตที่ชัดเจนเลย
ประมาณว่า "นักบวชก็ไม่ชัด คฤหัสถ์ก็ไม่เจน" คือยังไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรดีกับชีวิต
แต่ไหนๆ ได้ที่เรียนแล้วก็เรียนไปก่อนละกัน

ความเป็นครูก็ยังไม่มีความคิดเกิดในหัวเลย
ที่สำคัญนะครับ วิทยาลัยศาสนศึกษา ไม่ใช่สายครู...แล้วผมจะไปเป็นครูได้อย่างไรกัน
จบศาสนา บ้างก็บอกว่าไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นพระธรรมฑูต เป็นครูพระไง

ซึ่งหลายๆ ความคิดนี้ก็มีเพื่อนฆราวาสหลายๆ คนที่ตัดสินใจมาเรียนที่นี่ ถูกสงสัยมาแล้วเหมือนกันว่า
"เรียนจบแล้วจะไปทำอาร๊าย...ถ้าไม่ไปบวช ผู้ชายก็บวชพระ ผู้หญิงก็ไปบวชชี คนที่นับถือศาสนาอื่นก็ไปเป็นผู้นำในศาสนาของตนเองกันไป"
และวิทยาลัยแห่งนี้ทำให้ผมรู้คำตอบบางอย่างในชีวิต

ป.ล. ขอเขียนเพียงเท่านี้ก่อน ค่อยมาต่อวันอื่นนะครับ
       ไซ คืนถิ่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่